รับฟรีทันที 100 บาท

โทนเนอร์กำจัดฝ้าบนใบหน้า ด้วยผักผลไม้จากธรรมชาติ

   เคยมีงานวิจัยจากญี่ปุ่น จากข้อมูล Kinjirushi Wasabi เรื่องการทานวาซาบิสด จะช่วยลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ จากการทดลองในอาสาสมัครเป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่า ฝ้า กระ จุดด่างดำของกลุ่มที่ทานวาซาบิ ลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ทาน จากการวัดโดยการใช้เครื่องตรวจสภาพผิว


วันนี้เรามีสูตรโทนเนอร์รักษาฝ้ามาฝาก



ส่วนประกอบ 

 1. มะละกอสุก 1/2 ถ้วย
 2. เปลือกมะเขือเทศหั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
 3. ฝรั่งหั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
 4. แอปเปิลไซเดอร์ 1 ถ้วย  (หรือใครจะใช้เฉพาะแอปเปิลไซเดอร์ผสมน้ำ 1:1 แล้วเช็ดบริเวณที่เป็นฝ้าก็ได้เช่นกัน)


วิธีทำ 

 1. ผสมส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน
 2. เก็บใส่กระปุกที่มีฝาปิดสนิท ใส่ในตู้เย็น รอตกตะกอน

วิธีใช้ 

1. เมื่อโทนเนอร์ของเราตกตะกอน จะแยกชั้น ให้นำสำลีจุ่มลงในกระปุก แล้วนำมาเช็ดบริเวณที่เป็นฝ้า
2. หลังจากที่คุณทำความสะอาดใบหน้า ล้างเครื่องสำอางค์ออกเรียบร้อยแล้ว ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก





 ระวัง!! สูตรนี้ให้ทาเฉพาะบริเวณที่เป็นฝ้าเท่านั้น  แต่การใช้สูตรนี้สำหรับผลัดเซลล์ผิว ให้ผิวขาวใสไม่แพ้การใช้อัลฟ่าอาบูติล ให้ผสมโทนเนอร์ของเรากับน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1:1 แล้วสามารถใช้สำลีชุบแล้วเช็ดให้ทั่วหน้าได้เลยประมาณ 1 - 2 สัปดาห์เห็นความแตกต่าง


*** อย่าลืมทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน หรือ ต้องออกกลางแจ้งก็ควรทาครีมกันแดดทุก 2 ชั่วโมง เพราะฝ้าเป็นแล้วยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด...









ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก : คลินิกสมุนไพรหมอศุภการแพทย์แผนไทย

นอนหลับ และ ผ่อนคลายด้วยกลิ่นหอม

อาการจิตตก เครียดจากเรื่องงาน หรือกังวลกับปัญหาต่างๆ อาจทำให้คุณมีอาการนอนไม่หลับกระสับกระส่าย ส่งผลเสียต่อสุขภาพตามมาได้

เมื่อคนเรามีอาการเครียด หลายๆ คนก็มักจะหาวิธีบำบัดความเครียดด้วย "กลิ่นหอม" ซึ่งกลิ่นที่ว่า ไม่ได้มีประโยชน์แค่ทำให้รู้สึกสดชื่นเท่านั้น แต่ยังทำให้เรารู้สึก ผ่อนคลาย บรรเทาความเครียดหรือแม้กระทั่งอาการเจ็บป่วยบางอย่างได้อีกด้วย

การนำกลิ่นจากพืชมาใช้ "บำบัด" โดยสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ อโรมาเธอราปี (คนไทยรู้จักในชื่อ คันธบำบัด) มีมานานกว่า 6,000 ปีแล้ว เท่าที่มีหลักฐานก็คือ มีการใช้ในสมัยอียิปต์ ทั้งในพิธีกรรม และเพื่อการผ่อนคลาย ต่อมาชาวกรีกได้นำน้ำมันหอมระเหยมาใช้บำบัดโรค โดยพบว่ามีการใช้อยู่ในปัจจุบัน

เรื่องของการใช้น้ำมันหอมระเหยไม่ได้มีเฉพาะในฟากฝั่งตะวันตกเท่านั้น แต่ในฝั่งตะวันออกอย่างอินเดียก็ไม่น้อยหน้าเช่นกันเพราะมีหลักฐานเมื่อ 3,000 ปีมาแล้วว่า มีการใช้ประโยชน์จากน้ำมันหอมระเหยทั้งเพื่อความงาม การผ่อนคลาย และการรักษาโรค ส่วนจีนก็มีการบันทึกในเวลาใกล้เคียงกับอียิปต์ว่ามีการใช้ประโยชน์จากน้ำมันหอมระเหยจากพืชสมุนไพรและกลิ่นหอมต่างๆ ซึ่งสกัดจากพืชมากกว่า 300 ชนิด

ที่อโรมาเธอราปีได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ก็เพราะกลิ่นจากน้ำมันหอมระเหยที่ผ่านการสกัดนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจของเรา เมื่อร่างกายเราได้รับสารสำคัญจากน้ำมันหอมระเหย จะมีผลต่อระบบการทำงานในร่างกายที่ควบคุมระบบประสาทและการหลั่งฮอร์โมน โดยกลิ่นที่เราได้รับเข้าไปนั้นจะไปกระตุ้นสมองส่วนที่มีผลต่ออารมณ์ ทำให้เราสามารถนำมาจัดการกับอารมณ์ได้ตามคุณสมบัติของกลิ่นนั้นๆ

ในปัจจุบัน กลิ่นที่สกัดจากน้ำมันหอมระเหย ถูกนำมาใช้ในการบำบัดรักษาโรค การนวด การบำบัดจิตใจ การทำเครื่องหอม และเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องสำอาง โดยเราจะพบได้ในโรงแรม สปา รวมทั้งในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นหลัก ซึ่งน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป เช่น ช่วยแก้ภูมิแพ้ กำจัดแบคทีเรีย ส่วนกลิ่นแต่ละกลิ่นก็จะทำให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป เช่น ผ่อนคลาย สงบ หรือกระปรี้กระเปร่า

การสร้างบรรยากาศที่ดีในการนอนด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้หรือสมุนไพรกลิ่นต่างๆ เป็นวิธีที่จะช่วยให้คุณนอนหลับฝันดีได้ เพราะเมื่อคุณสูดกลิ่นหอมของดอกไม้หรือสมุนไพรเข้าไป จมูกจะรับเอาพลังกลิ่นหอมเข้าสู่โพรงจมูกส่วนบน อันเป็นจุดรับความรู้สึกของกลิ่น ก่อนที่จะเข้าสู่ระบบประสาท ช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลาย หลับสบายยิ่งขึ้น

คุณสมบัติของกลิ่นดอกไม้และสมุนไพรแต่ละชนิด 

1. กลิ่นมะลิ ส่งผลให้เกิดความรู้สึกที่สงบบริเวณระบบประสาทส่วนกลาง จึงทำให้หลับได้เร็วขึ้นและรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่


2. กลิ่นลาเวนเดอร์ มีคุณสมบัติในการระงับความตึงเครียด แก้อาการนอนไม่หลับ ปวดศีรษะไมเกรน ช่วยปรับสมดุลของระบบหมุนเวียนโลหิต รักษาปัญหาที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ จึงช่วยทำให้นอนหลับสบาย หลับสนิทมากยิ่งขึ้น และตื่นขึ้นมาด้วยสมองที่ปลอดโปร่ง

3. กลิ่นกระดังงา มีคุณสมบัติในการบำบัดอาการซึมเศร้า คลายความตึงเครียดหรือวิตกกังวล ความรู้สึกไม่มั่นคงทางจิตใจ อาการโมโหหงุดหงิดง่าย จึงช่วยบรรเทาอาการหงุดหงิดก่อนมีรอบเดือน อันเป็นสาเหตุให้เกิดอาการนอนไม่หลับ


4. กลิ่นส้ม สารโฟเลตที่อยู่ในส้มนั้นช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนเซโรโทนิน อันเป็นสารแห่งความสุข มีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและช่วยกระตุ้นระบบประสาทได้ ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานเป็นไปตามปกติ ช่วยให้สดชื่น ผ่อนคลายความตึงเครียด จากการทำงานหนักมาทั้งวัน


5. กลิ่นคาโมมายล์ สาร Apigenin จากดอกคาโมมายล์ มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและทำให้รู้สึกสงบ คลายความกังวล ความเครียด และอาการปวดศีรษะ จึงช่วยทำให้หลับสนิท